เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างเต็มที่ แม้สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมียังคงผันผวนและมีการแข่งขันสูง โดยผู้บริหารระดับสูง นำโดย นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการและนวัตกรรม และ นายชาตรี เอี่ยมโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ เผยถึงความพร้อมและศักยภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อรับมือกับการฟื้นตัวของตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคในอนาคต
SCGC ได้ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน และตอกย้ำจุดแข็งสำคัญในการแข่งขัน
กลยุทธ์รับมือความผันผวน: สั้น-ยาว ครอบคลุมทุกมิติ
นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ กล่าวว่า แม้ว่าวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้จะรุนแรงและยาวนานกว่าปกติ แต่ SCGC พร้อมรับมือกับความท้าทาย โดยมีกลยุทธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว:
กลยุทธ์ระยะสั้น:
- ลดต้นทุน: ลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI
- เร่งพัฒนาสินค้า HVA และ Green Polymer: พัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services – HVA) รวมถึงพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer)
- ขยายธุรกิจ Service Solutions: เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions แบบครบวงจร
- ขยายธุรกิจ PVC Fabrication: ขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC
กลยุทธ์ระยะยาว:
- เพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน: ที่โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ซึ่งเป็นโครงการ LSPE
ตอกย้ำจุดแข็ง: นวัตกรรมล้ำหน้า และการนำดิจิทัลมาใช้
SCGC ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและตอกย้ำจุดแข็งในด้านต่างๆ ได้แก่:
- กระบวนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากล (Innovation Management): เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก และยังได้จัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมครบวงจร i2P Center” (Ideas to Products) ซึ่งมีเครือข่ายนวัตกรรมทั่วโลก เพื่อช่วยลูกค้าและพันธมิตรในการค้นหาไอเดีย วิจัยและพัฒนา รวมถึงออกแบบและทดสอบสินค้า ปัจจุบันมีโครงการด้านนวัตกรรมที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนามากกว่า 100 โครงการ
- เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล: เช่น AI (Artificial Intelligence) และระบบ Robotics & Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และยกระดับความปลอดภัยในโรงงาน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยคาดการณ์อนาคตของเครื่องจักรได้อย่างแม่นยำ ซึ่งถูกออกแบบให้สอดคล้องกับกระบวนการผลิตเฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น ระบบ Robotics & Automation ของโรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรม ที่มีสัดส่วนการนำหุ่นยนต์มาใช้ (Robot Density) อยู่ในระดับ Best in Class ของโลก นอกจากนี้ ยังได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญสู่ธุรกิจ Industrial Service Solutions โดยพัฒนาโซลูชัน “DRS by REPCO NEX” (Digital Reliability Service Solutions) ซึ่งช่วยยกระดับการดูแลเครื่องจักรและเพิ่มความสามารถในการผลิต ให้บริการลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ อาหารเครื่องดื่ม และสาธารณูปโภค
- นำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By – product) มาต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจ: เช่น การนำอะเซทิลีนจากโรงงานโอเลฟินส์ไปเป็นวัตถุดิบผลิต อะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ซึ่งเป็นส่วนประกอบนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และนำผลพลอยได้จากโรงงานพอลิโอเลฟินส์ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสาร Phase Change Material ซึ่งนำไปใช้ในโซลูชันด้านการควบคุมอุณหภูมิและประหยัดพลังงานสำหรับธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อาคารสำนักงาน และ data center ภายใต้แบรนด์ “CHILLOX” (ชิลล็อกซ์)
ความคืบหน้าโรงงาน LSP เวียดนาม
สำหรับความคืบหน้าของ โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ประมาณ ปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน 2568 โดยบริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป