นิวยอร์ก/นิวเจอร์ซีย์ – เชลซีคว้าแชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ครั้งใหม่ เอาชนะปารีส แซงต์-แชร์กแมงไปอย่างขาดลอย 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กลายเป็นจุดสนใจหลักในเกมวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่คำถามสำคัญคือ การแข่งขันที่ขยายขนาดขึ้นของ FIFA ครั้งนี้ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้หรือไม่? นี่คือประเด็นสำคัญที่ต้องพูดถึง:

สโมสรใหญ่เอาจริง! เงินรางวัลมหาศาลคือแรงจูงใจหลัก
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากยุโรปในช่วงก่อนและระหว่างการแข่งขัน (รวมถึงจาก เจอร์เก้น คล็อปป์) แต่ท้ายที่สุดแล้วสโมสรต่างๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการแข่งขันนี้อย่างชัดเจน ทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปส่วนใหญ่ส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนาม และยังมีการเร่งเซ็นสัญญานักเตะใหม่ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน เพื่อให้ทันสำหรับการแข่งขัน โดย FIFA ระบุว่ามีการลงทะเบียนผู้เล่นใหม่ถึง 59 คน ด้วยมูลค่ารวมกว่า 480 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.76 หมื่นล้านบาท)

แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญคือ เงินรางวัลที่เย้ายวนใจ เชลซีคาดว่าจะได้รับเงินรางวัลสูงถึง 85 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3.9 พันล้านบาท) จากการคว้าแชมป์ ขณะที่ปารีส แซงต์-แชร์กแมงได้รับไป 78.4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3.6 พันล้านบาท) จากการเป็นรองแชมป์ โดย FIFA จัดสรรเงินรางวัลรวม 774 ล้านปอนด์ (1 พันล้านดอลลาร์) สำหรับ 32 สโมสรที่เข้าร่วม ทุกสโมสรยังได้รับค่าเข้าร่วมสูงสุดถึง 28 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.3 พันล้านบาท) ขึ้นอยู่กับสมาพันธ์ที่สังกัด ทำให้แม้แต่ทีมที่ตกรอบแรกก็ยังได้รับผลตอบแทนที่ดี แม้แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก็ยังได้ไป 38 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.75 พันล้านบาท)

จำนวนผู้ชมในสนามยังเป็นคำถาม และปัญหาเรื่องสภาพอากาศ
จำนวนผู้ชมที่น้อยในระยะแรกของการแข่งขัน กลายเป็นประเด็นที่ FIFA ต้องเผชิญความลำบากใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมเปิดสนามของเชลซีกับ LAFC ที่มีแฟนบอลเพียง 22,137 คน ในสนาม Mercedes-Benz Stadium ที่มีความจุ 71,000 ที่นั่งในเมืองแอตแลนตา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ชมก็เริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อทัวร์นาเมนต์ดำเนินไป โดยมีการจำหน่ายตั๋วรวมกว่า 2.5 ล้านใบ และมีผู้เข้าชมเฉลี่ย 39,705 คน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการใช้ราคาแบบไดนามิกที่ทำให้แฟนบอลสามารถซื้อตั๋วเข้าชมบางเกมได้ในราคาเพียง 8 ปอนด์ (ประมาณ 368 บาท)

อีกหนึ่งประเด็นน่ากังวลคือ สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ตลอดการแข่งขัน ทำให้โค้ชเชลซีอย่าง เอ็นโซ่ มาเรสก้า ถึงกับกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้” ที่จะซ้อมตามปกติ ขณะที่ เอ็นโซ่ เฟอร์นันเดซ กองกลางกล่าวว่า “อันตรายมาก” ที่จะเล่นในสภาพอากาศเช่นนี้ สภาพอากาศสุดขั้วนี้ทำให้หลายนัดต้องล่าช้าและถูกระงับ รวมถึงชัยชนะของเชลซีเหนือเบนฟิกาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งต้องหยุดพักถึงสองชั่วโมงเนื่องจากฟ้าผ่าในพื้นที่ ซึ่งเป็นข้อกังวลอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปีหน้า ร่วมกับเม็กซิโกและแคนาดา

สโมสรบราซิลสร้างความประทับใจ การ “อเมริกันไนซ์” ที่เสียงแตก และความกังวลเรื่องความอ่อนล้า
แม้เชลซีและปารีส แซงต์-แชร์กแมงจะพบกันในรอบชิงชนะเลิศ แต่สโมสรจากบราซิลก็สร้างผลงานที่น่าประทับใจเป็นพิเศษ โดยทั้งฟลาเมงโก้, โบตาโฟโก้, พัลไมรัส และฟลูมิเนนเซ่ ต่างผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาต์ และสามในสี่ทีมนี้ยังสามารถเอาชนะทีมยุโรปชื่อดังได้อีกด้วย แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของลีกบราซิลและสร้างความภาคภูมิใจให้กับแฟนบอล
ในส่วนของการ “อเมริกันไนซ์” บางแง่มุมของการแข่งขันก็ได้รับเสียงตอบรับที่หลากหลาย โดยเฉพาะรอบชิงชนะเลิศที่ดูคล้าย Superbowl มีการแสดงก่อนเกมและช่วงพักครึ่งที่ยาวนาน รวมถึงการบินโชว์ของเครื่องบินรบ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในพิธีมอบรางวัล สร้างความงุนงงให้กับ โคล พาลเมอร์ ผู้ยิงประตูชัยของเชลซี นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำผู้เล่นแบบ ‘walk-ons’ สไตล์ WWE ซึ่งผู้เล่น 22 คนในทุกเกมจะถูกประกาศชื่อทีละคน แทนที่จะเดินออกมาจากอุโมงค์พร้อมกันแบบดั้งเดิม ซึ่งแม้จะมีผู้เล่นบางคนชื่นชอบ แต่หลายคนก็รู้สึกว่ากระบวนการที่ยาวนานนี้สร้างความล่าช้า
สุดท้ายคือประเด็นเรื่อง ความอ่อนล้าของผู้เล่น ที่ยังคงเป็นข้อกังวลสำหรับสโมสรใหญ่ที่ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้อย่างเข้มข้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายลงเล่นไปแล้ว 61 นัดในฤดูกาลนี้ ขณะที่เชลซีลงเล่นไปถึง 64 นัด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมรับว่ากังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว และเตือนว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจจะปรากฏชัดเจนขึ้นในช่วงกลางฤดูกาลหน้า

