ผลสำรวจ FTI CEO Poll ล่าสุดชี้ว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคยังอยู่ใน ระดับปานกลาง โดยมีปัญหาใหญ่จาก กฎหมายที่ล้าสมัยและความซับซ้อนของระบบราชการ เป็นตัวฉุดรั้งที่สำคัญที่สุด ทำให้การเติบโตของ GDP ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยผลสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 46 ประจำเดือนกันยายน 2568 จากผู้บริหาร 145 ท่าน ในหัวข้อ “มุมมองต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับคู่แข่งในภูมิภาค” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
ผลสำรวจระบุชัดเจนว่า ผู้บริหารมองว่าจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยคือ ความได้เปรียบด้านที่ตั้งและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน (73.8%) infrastrukt รองลงมาคือการเป็น ศูนย์กลางการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรระดับโลก (40.7%)
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่น่ากังวลและถูกโหวตสูงสุดอย่างท่วมท้นคือ กฎหมายที่ล้าสมัย ซับซ้อน และขาดการปฏิรูประบบราชการ (91.2%) 🏛️ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ GDP ของไทยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเติบโตเพียง 2.8% ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน นอกจากนี้ ปัญหา การขาดแคลนแรงงานทักษะสูง (57.2%) ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม
เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้เสนอให้ภาครัฐเร่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก ดังนี้:
สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่จะกลายเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต ผู้บริหารมองว่า 2 อันดับแรกที่มีคะแนนเท่ากันคือ:
ตามมาด้วย การแพทย์ครบวงจร (26.9%) และ การแปรรูปอาหาร (22.8%) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีต่อยอดจากฐานความแข็งแกร่งเดิมของประเทศ
ที่มา: ฝ่ายสื่อสารองค์กร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย