เนสท์เล่ (Nestlé) บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของโลก ประกาศแผนปรับโครงสร้างครั้งสำคัญ เตรียมปลดพนักงานจำนวน 16,000 ตำแหน่งทั่วโลกภายในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ที่ต้องการเร่งฟื้นฟูผลประกอบการและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท
การประกาศที่สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งนี้มีขึ้นเมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 68) โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปองค์กรของ นายฟิลิปป์ นาวราติล (Philippe Navratil) ซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยการลดจำนวนพนักงานจะแบ่งเป็น พนักงานในสำนักงาน (White-collar) 12,000 ตำแหน่ง และพนักงานในสายการผลิตและซัพพลายเชนอีก 4,000 ตำแหน่ง
ภายหลังการประกาศข่าวดังกล่าว ราคาหุ้นของเนสท์เล่กลับตอบสนองในเชิงบวก โดยพุ่งสูงขึ้นถึง 7.8% สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแผนการปรับโครงสร้างที่ชัดเจน
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการต่อยอดและเร่งรัดโปรแกรมลดต้นทุนเดิมที่ริเริ่มในสมัยของ นายโลรองต์ เฟรซ์ (Laurent Freixe) อดีตซีอีโอ ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 2.5 พันล้านฟรังก์สวิส โดยแผนใหม่นี้ได้เพิ่มเป้าหมายการลดต้นทุนขึ้นเป็น 3 พันล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 1.28 แสนล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2570
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์แห่งนี้ต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากกลุ่มนักลงทุน เนื่องจากผลการดำเนินงานและผลประกอบการที่ต่ำกว่าคู่แข่ง โดยราคาหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวลดลงมากกว่า 40% จากจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 และลดลงกว่า 9% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เนสท์เล่มีอัตราการเติบโตของยอดขายจากธุรกิจปกติ (Organic Growth) สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.3% แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากแนวโน้มผู้บริโภคที่ไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างโกโก้และเมล็ดกาแฟที่พุ่งสูงขึ้น
ถึงแม้ภาพรวมจะดีกว่าที่คาดการณ์ แต่ธุรกิจของเนสท์เล่ในประเทศจีนยังคงมีผลประกอบการต่ำกว่าเป้าหมาย โดยผลประกอบการในภูมิภาคนี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตแบบออร์แกนิกถึง 80 จุดเบสิส (Basis Points) ซึ่งเนสท์เล่ระบุว่า “ขณะนี้มีผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาดูแลแล้ว และกำลังดำเนินการตามแผนปฏิรูปธุรกิจอย่างเร่งด่วน” เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว
ที่มา: CNBC