เกาะติดสถานการณ์ : ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา | Live Update: Thailand-Cambodia Situation

การเมือง1 week ago95 Views

ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชามีรากฐานยาวนานนับศตวรรษ โดยเฉพาะการแย่งชิงดินแดนรอบปราสาทเขาพระวิหารและปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเกิดจากความคลุมเครือของแผนที่สมัยอาณานิคมฝรั่งเศสในปี 2450 ในปี 2568 ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นจากเหตุการณ์ย่อยหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดการปะทะและวิกฤตทางการทูตครั้งใหญ่

Eastern Today รายงานลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดตาม Timeline

27 กรกฎาคม 2568 :

11.45 น. :

กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า วันนี้ กองทัพกัมพูชาได้เปิดฉากยิงจรวด BM-21 เข้าใส่ ‘ปราสาทตาเมือนธม’ เป็นการล่วงละเมิดอธิปไตยไทยอย่างอุกอาจและไร้ข้ออ้าง


11.25 น. :

รักษาการ รมว.กลาโหม ชี้กัมพูชาไม่จริงใจหยุดยิง พบถล่มซ้ำตั้งแต่เช้ามืด หลังรับปากทรัมป์ รับกังวลกัมพูชามีอาวุธยิงระยะไกล


10.56 น. :

ภูมิธรรม ย้ำต้องการเห็นความจริงใจกัมพูชาหลังหารือทรัมป์ เผยเตรียมถก รมว.กัมพูชา เที่ยงนี้ ตั้งเงื่อนไข ถอยกำลังทหาร-เคลื่อนยุทโธปกรณ์ออกจากพื้นที่


09.36 น. :

กองทัพไทยบันทึกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 26 ก.ค. 2568 ยึดคืนพื้นที่สำคัญ เผยพื้นที่ปะทะหนัก-3 อำเภอเฝ้าระวังใกล้ชิดเสี่ยงถูกโจมตี

กองบัญชาการกองทัพไทย เผยแพร่บันทึกเหตุการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 จากรายงานของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 กองทัพบก และกองทัพเรือ ได้สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่าสถานการณ์ยังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่อง

ทั้งสองฝ่ายได้มีการเสริมกำลังเพิ่มเติม โดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญ ได้แก่ ช่องบก ช่องอานม้า ซำแต ช่องตาเฒ่า ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และกลุ่มปราสาทตาเมือนธม โดยมีการยิงปืนใหญ่ตกในพื้นที่พลเรือนหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ในขณะเดียวกัน มีการอพยพพนักงานคาสิโนชาวกัมพูชาออกจากบ่อนบริเวณชายแดนฝั่งตรงข้ามช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์

สรุปสถานการณ์ในพื้นที่สำคัญ ดังนี้

ช่วงบ่ายของวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 กำลังฝ่ายกัมพูชาได้ระดมยิงปืนใหญ่ ค. และ BM-21 อย่างหนัก พร้อมพยายามเข้ารุกรานพื้นที่สำคัญ ได้แก่ ซำแต ภูผี ช่องตาเฒ่า และปราสาทตาเมือนธม โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้ด้วยอาวุธประจำกาย ปืนใหญ่ ค. และการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ช่องอานม้า ภูผี ช่องตาเฒ่า และช่องบันไดหัก ฝ่ายไทยสามารถยึดควบคุมพื้นที่ภูมะเขือได้ทั้งหมดตามแนวเส้น 1:50,000 ส่วนพื้นที่ปราสาทตาควายยังคงมีความพยายามผลักดันจากฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง แต่จำกัดการใช้กำลังเนื่องจากอยู่ใกล้โบราณสถาน

สำหรับพื้นที่ที่มีการปะทะหนัก ได้แก่ ภูมะเขือ ปราสาทตาเมือนธม ช่องบก ช่องอานม้า ซำแต และช่องตาเฒ่า

พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ได้แก่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอกาบเชิง กับอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยคาดว่าฝ่ายกัมพูชาอาจใช้วิธีการยิงปืนใหญ่โจมตีพื้นที่พลเรือน เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยยุติการสู้รบในสภาพเสียเปรียบ

ในส่วนของกองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 ได้ดำเนินการผลักดันและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนประเทศไทย อันเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 รวมทั้งสิ้น 4 พื้นที่ ในเขตอำเภอตาพระยา 2 พื้นที่ และอำเภอโคกสูง 2 พื้นที่ จังหวัดสระแก้ว

ขณะที่พื้นที่จังหวัดตราด ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดพื้นที่โจมตีใหม่ในเวลา 05.10 นาฬิกา ของวันนี้( 26 กรกฎาคม 2568 )จากนั้นกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดได้ตอบโต้ด้วยการเปิดปฏิบัติการ ‘ยุทธการตราดพิฆาตไพรี 1’ ณ บ้านชำราก จังหวัดตราด โดยส่งกำลังพลและเรือป้องกันชายแดนเข้าไปผลักดันและทำลายพื้นที่ที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทย 3 จุด จนกระทั่งเวลา 06.40 น. ของวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาต้องล่าถอยออกจากพื้นที่ดังกล่าว

ในด้านการอพยพประชาชน ได้มีการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดนเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยและศูนย์รวบรวมพลเรือนใน 4 จังหวัด ดังนี้

  • จังหวัดบุรีรัมย์: 1 จุด 8,363 คน
  • จังหวัดสุรินทร์: 65 จุด 39,350 คน
  • จังหวัดศรีสะเกษ: 82 จุด 35,009 คน
  • จังหวัดอุบลราชธานี: 76 จุด 14,709 คน

รวมประชาชนที่อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยแล้วทั้งสิ้น 97,431 คน (เพิ่มขึ้น 9,393 คน) ส่วนจังหวัดตราด ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจและรวบรวมจำนวนผู้อพยพ

ด้านการช่วยเหลือประชาชน กำลังจิตอาสาพระราชทานในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการช่วยเหลือประชาชน อำนวยความสะดวกในศูนย์พักพิงชั่วคราว และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ และกำลังพลจิตอาสา 904 จาก ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน จ.ใกล้เคียง รวมทั้งสิ้น จิตอาสา 904 129 นาย, จิตอาสาประชาชน 2,480 และ รด.จิตอาสา 220 นาย

นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งโรงครัวพระราชทานเพื่อประกอบอาหารดูแลประชาชนผู้อพยพ โดยมีโรงครัวพระราชทานในพื้นที่ 4 จังหวัด จำนวน 7 แห่ง พร้อมรถครัวประกอบอาหาร 9 คัน ซึ่งได้ผลิตข้าวกล่องเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตั้งแต่วันที่ 24-26 กรกฎาคม 2568 รวมจำนวน 100,100 กล่อง

สรุปสถานการณ์ผู้ได้รับผลกระทบจากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เวลา 14.00 น.

ยอดเพิ่มเติมเฉพาะวันที่ 26 กรกฎาคม 2568

ทหาร เสียชีวิต: เพิ่ม 1 นาย และบาดเจ็บ: เพิ่ม 11 นาย

ยอดสะสมรวมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน

พลเรือน

  • เสียชีวิต: 13 ราย
  • บาดเจ็บสาหัส: 10 ราย
  • บาดเจ็บปานกลาง: 12 ราย
  • บาดเจ็บเล็กน้อย: 13 ราย

รวมทั้งสิ้น: 48 ราย

ทหาร

  • เสียชีวิต: 7 นาย
  • บาดเจ็บ: 45 นาย

รวมทั้งสิ้น: 52 นาย

กองทัพไทยขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทย และขอประณามอย่างรุนแรงต่อการที่ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ การกระทำดังกล่าวขัดต่อหลักมนุษยธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความมั่นคงที่พึงมีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ กองทัพไทยยืนยันจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและดูแลความสงบสุขของประชาชนชาวไทยอย่างถึงที่สุด


09.11 น. :

กัมพูชา ยังโจมตีทหารไทยแต่เช้า หลังทรัมป์ขอให้หยุดยิง พบบ้านเรือนประชาชนเสียหาย

วันนี้ (27 กรกฎาคม) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หารือ นายกฯกัมพูชา และ ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ หากไม่หยุดยิงจะไม่เจรจาเรื่องภาษีสหรัฐฯ นั้นว่า กัมพูชายังไม่หยุดยิง และยังตอบโต้มาอยู่ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ มีจรวดตกนอกเขตปฏิบัติการทางทหาร ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์

เมื่อเวลา 04.30 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงทหารไทย ด้วยเครื่องยิงจรวด BM-21 แต่ด้วยเป้าหมายของทางกัมพูชา ไม่ใช่พื้นที่ทางทหาร แต่บ้านเรือนประชาชน รวมถึงสถานพยาบาล และชุมชน

เมื่อเวลา 06.30 น. กระสุนปืนใหญ่ (ไม่ทราบชนิด) ตกบริเวณพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ (ยังไม่ทราบจำนวน) บ้านเรือนราษฎรเกิดไฟไหม้ รถดับเพลิงกับรถกู้ชีพกำลังเข้าดำเนินการ

ห่างกัน 10 นาที ช่วงเวลา 06.40 น. กัมพูชายิงปืนใหญ่เข้ามาตกใส่บ้านประชาชนทำให้ไฟไหม้บ้านทั้งหลัง ในพื้นที่ จังหวัดสุรินทร์

ต่อมาเวลา 07.45 น. มีกระสุนปืนใหญ่ (ไม่ทราบชนิด) ตกบริเวณพื้นที่ อำเภอพนมดงรัก จำนวน 3 ลูก เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

ห่างกัน 5 นาที ช่วงเวลา 07.50 น. ทางทหารกัมพูชา ยังยิงจรวด BM-21 ลงมาในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บ้านเรือนประชาชนเสียหาย ส่วนชาวบ้านอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย ก่อนหน้านี้แล้ว


08.54 น. :

พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกทบ. เผยสถานการณ์เช้านี้ ทางกัมพูชา ยังไม่หยุดยิง ยังตอบโต้มาตั้งแต่เช้า มีจรวดตกนอกเขตปฏิบัติการทางทหาร ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์


08.50 น. :

อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาฯ สหประชาติ กังวลเหตุปะทะบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย เรียกร้องสองฝ่ายตกลงหยุดยิงทันที แก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา พร้อมช่วยดำเนินการหาทางออกอย่างสันติ


00.48 น. :

ภูมิธรรมเผยทรัมป์ต่อสายเสนอหยุดยิงชายแดน ยืนยันไทยพร้อมเจรจาทวิภาคี หากกัมพูชาแสดงความจริงใจ หวังร่วมกำหนดมาตรการ หาข้อยุติ


26 กรกฎาคม 2568:

23.21 น. :

ทรัมป์เผย คุยกับฮุนมาเนต-ภูมิธรรมแล้ว เรียกร้องกัมพูชา-ไทยหยุดสู้รบ ลั่นไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้งคู่ หากไม่หยุดรบ


16.07 น. :

แพทองธารเผยไทยใช้ F-16 เหตุกัมพูชาโจมตีพลเรือน ยืนยันไม่เคยเริ่มก่อน ชี้ปราบคอลเซ็นเตอร์จริงจัง ทำกัมพูชาไม่พอใจ คาดขัดผลประโยชน์ ยืนยันไม่ว่าตระกูลไหนมาบริหารก็ต้องทำ


15.09 น. :

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ ‘ภูมะเขือ’ สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติการ ลุล่วงกลับฐานด้วยความปลอดภัย


13.33 น. :

‘พรรคประชาชน’ เสนอรัฐบาลไทย ยื่นฟ้อง ‘ฮุน เซน’ และ ‘ฮุน มาเนต’ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เอาผิดฐานก่ออาชญากรรมสงคราม โจมตีพลเรือนไทย


13.31 น. :

สถานทูตลาวในไทย ออกแถลงการณ์ ในฐานะที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน และมีสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชาและไทย เป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ หวังทั้งสองฝ่ายใช้ความพยายาม อดกลั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยสันติวิธี


12.40 น. :

รมว.กต. แถลงผลการชี้แจงต่อนานาชาติบนเวที UN ยืนยัน กัมพูชาโจมตีไทยก่อน ย้ำไทยพร้อมใช้สันติวิธี


12.00 น. :

กองทัพภาคที่ 2 แจ้งเตือน กัมพูชาเตรียมใช้กำลังทางทหาร-อาวุธวิถีโค้งจำนวนมาก จากเหตุฝ่ายไทยยึด ‘ภูมะเขือ’ จ.ศรีสะเกษ ขอประชาชนระวัง ติดตามสถานการณ์จากทางการ และเชื่อมั่นในทหารไทย


11.38 น. :

กระทรวงดีอี สั่งแสตนด์บาย 24 ชม. รับมือแฮกเกอร์กัมพูชา โจมตีเว็บไซต์ไทย ยืนยันขณะนี้ยังไม่ได้รับความเสียหาย หากพบข่าวปลอมให้นำลง-ปิดกั้นทันที เร่งสื่อสารทำความเข้าใจประชาชน


11.30 น. :

โฆษกกองทัพบก ยืนยันกระสุนตกฝั่ง สปป.ลาว เป็นกระสุนฝ่ายกองทัพกัมพูชา เชื่อเจตนาให้สังคมโลกเข้าใจผิดต่อฝ่ายไทย


11.02 น. :

กองทัพไทยบุกยึดคืน ‘ภูมะเขือ’ ได้สำเร็จ พร้อมปักธงชาติไทย

วันนี้ (26 กรกฎาคม) กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่า เมื่อเวลา 09.20 น. ได้มีการเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดภูมะเขือ หลังจากที่ทหารไทยได้เปิดปฏิบัติการเข้าตียึดพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งเป็นบริเวณที่ฝ่ายทหารกัมพูชาได้วางกำลังไว้อย่างหนาแน่น และสามารถยึดพื้นที่ได้สำเร็จ เมื่อช่วงเย็นของเมื่อวานนี้

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความพยายามจากฝ่ายกัมพูชา ในการเข้าตีเพื่อแย่งยึดพื้นที่คืนอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการระดมยิงปืนใหญ่และเตรียมการจัดกำลังเข้าตีตอบโต้ฝ่ายไทย


10.41 น. :

กองทัพภาคที่ 2 ระบุ กระสุนตกฝั่ง สปป.ลาว เป็นกระสุนฝ่ายกองทัพกัมพูชา หลังมีรายงานถูกลูกหลง ฝ่ายไทยขอแสดงความเสียใจ และที่ผ่านมาไทยล็อกเป้าหมายทางทหารเท่านั้น


10.03 น. :

เปิดถ้อยแถลงทูตไทยต่อที่ประชุม UNSC แบบคำต่อคำ

เปิดถ้อยแถลง เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ในการประชุมแบบปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) หัวข้อ ‘ภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ’ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมคณะมนตรีความมั่นคง สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ใจความว่า:

ท่านประธานที่เคารพ

กระผมขอแสดงความขอบคุณต่อท่านที่จัดการประชุมครั้งนี้ และขอขอบคุณผู้ช่วยเลขาธิการคีอารีสำหรับการบรรยายสรุปของท่าน

ท่านประธานครับ

นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับกระผมที่ได้กล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเสมอมา อย่างไรก็ตาม ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง วันนี้ผมจำเป็นต้องกล่าวภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เนื่องจากการรุกรานโดยปราศจากการยั่วยุของกัมพูชากำลังคุกคามอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และที่สำคัญที่สุดคือ ชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ยึดมั่นในสันติภาพ ดังที่เราทุกคนในห้องนี้ทราบดี

กระผมขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ประเทศไทยมองว่ากัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและเป็นสมาชิกครอบครัวอาเซียนมาโดยตลอด นับตั้งแต่กัมพูชาได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2496 ประเทศไทยได้ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนกระบวนการสร้างสันติภาพ การสร้างชาติ และการพัฒนา ผ่านความตกลงปารีสในปี พ.ศ. 2534 และการเป็นสมาชิกอาเซียนของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2542 ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้ร่วมมือกันด้วยความจริงใจ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองดินแดน

แต่ในกรณีของความสัมพันธ์ฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ไทยและกัมพูชาต่างเผชิญกับความท้าทายและความขัดแย้งมาไม่น้อย และในช่วงเวลาเช่นนี้เองที่การเจรจาจะต้องเกิดขึ้น ไม่ใช่ความรุนแรง นั่นคือเหตุผลที่เราจึงต้องมารวมตัวกัน ณ ห้องประชุมแห่งนี้ในวันนี้

ท่านประธานครับ

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม เกิดการปะทะกันเล็กน้อยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะนั้น กองกำลังไทยกำลังลาดตระเวนตามปกติบนเส้นทางที่กำหนดไว้ภายในอาณาเขตของไทย เพื่อตอบโต้การยิงของกองกำลังกัมพูชาเข้ามาในอาณาเขตไทยโดยปราศจากการยั่วยุ กองกำลังไทยจึงถูกบีบให้ใช้มาตรการป้องกันตนเองที่ได้สัดส่วนและเหมาะสมตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยเชื่อมั่นเสมอว่าช่องทางทวิภาคีเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าว และเราได้เรียกร้องให้มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ตามที่ผู้รายงานได้กล่าวไว้ เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหานี้กับกัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ณ กรุงพนมเปญ

แม้จะเดินหน้าสานความพยายามอย่างต่อเนื่อง แต่ในวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม กำลังพลของกองทัพไทยได้เหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนตามปกติภายในอาณาเขตประเทศไทย ส่งผลให้ทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บสาหัสและพิการถาวร ขณะที่ทหารที่เหลือได้รับบาดเจ็บรุนแรง หลักฐานยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางไว้ใหม่ในพื้นที่ที่เคยถูกกำจัดทุ่นระเบิดไปแล้ว ท่านคงทราบดีว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดไปแล้วนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ซึ่งรวมถึงทุ่นระเบิดที่เก็บรักษาไว้เพื่อการวิจัยและฝึกอบรม ในทางตรงกันข้าม รายงานความโปร่งใสประจำปีของกัมพูชาระบุว่า ณ เดือนธันวาคมปีที่แล้ว กัมพูชายังคงเก็บรักษาทุ่นระเบิดประเภทนี้ไว้ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง หรืออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่รู้จักกันในชื่ออนุสัญญาออตตาวา ซึ่งประเทศไทยและกัมพูชาต่างเป็นรัฐภาคี อีกทั้งยังถือเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของปฏิญญาเสียมเรียบ-อังกอร์ ซึ่งได้รับการรับรองในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ด้วยสถานการณ์อันร้ายแรงนี้ ประเทศไทยได้ยื่นหนังสือ 2 ฉบับถึงประธานการประชุมรัฐภาคีครั้งที่ 22 ของอนุสัญญา โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประณามการกระทำเหล่านี้อย่างรุนแรงที่สุดว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนโดยเจตนา นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ยื่นหนังสือต่อเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อขอให้รัฐบาลกัมพูชาชี้แจงตามมาตรา 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาดังกล่าว

ต่อมาวานนี้ (24 กรกฎาคม) เวลา 08.20 น. กองกำลังกัมพูชาพร้อมปืนใหญ่ได้เปิดฉากยิงใส่ฐานของทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายในดินแดนไทยใน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี การรุกรานที่ขัดต่อกฎหมายและไม่เลือกเป้าหมายครั้งนี้ — ผมขอเน้นย้ำคำว่าไม่เลือกเป้าหมาย– การโจมตีด้วยอาวุธได้สร้างความเสียหายและความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่พลเรือนผู้บริสุทธิ์ มีเด็กเสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บสาหัสอีก 4 คน โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมถึงโรงพยาบาลและโรงเรียน ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน ณ วันที่ 25 กรกฎาคม เวลา 09.00 น. การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 46 ราย โดย 13 รายอยู่ในอาการสาหัส ผมขอใช้คำว่า “อย่าละสายตา” อีกครั้ง [พร้อมแสดงภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต] เพียง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และบ้านเรือนของพลเรือนถูกโจมตี ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก 4 คนกำลังซื้อของ ได้เข้าไปในร้านขายของชำแห่งนี้ สามคนในจำนวนนั้นซึ่งเป็นแม่และลูกสามคน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตออกมาเลย อย่าละสายตา ประชาชนกว่า 130,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน

ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการโจมตีพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานพลเรือน และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา พ.ศ. 2492 โดยเฉพาะมาตรา 19 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และมาตรา 18 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4

ท่านประธานครับ

การรุกรานและโจมตีด้วยอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุและมีการวางแผนมาล่วงหน้าของกองกำลังทหารกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อมาตรา 2 ย่อหน้า 4 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งเราทราบกันดีว่า ห้ามใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐต่างๆ รวมถึงละเมิดหลักการของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความสามัคคีของอาเซียน

แม้จะใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด แต่ปัจจุบันประเทศไทยถูกบีบบังคับให้ต้องดำเนินการเพื่อป้องกันตนเองภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การตอบสนองของเรา ขอย้ำอีกครั้งว่ามีขอบเขตที่จำกัดอย่างเคร่งครัด ได้สัดส่วน และมุ่งเป้าไปที่การกำจัดภัยคุกคามที่กำลังใกล้เข้ามาจากกองกำลังทหารกัมพูชาเท่านั้น มาตรการทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารที่ชอบธรรม โดยพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่อพลเรือน

จุดยืนของไทยชัดเจนและสอดคล้องกัน นั่นคือ เรายึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐใดๆ และเราขอเน้นย้ำถึงความเคารพอย่างเต็มที่ต่ออำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ซึ่งเป็นหลักการที่เป็นรากฐานสำคัญของระเบียบระหว่างประเทศและเสถียรภาพในภูมิภาค

ในฐานะประเทศที่รักสันติ ท่านประธานครับ ประเทศไทยปฏิเสธการใช้กำลังอย่างเด็ดขาดในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ และยังคงยึดมั่นในการระงับข้อพิพาทโดยสันติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยเจตนารมณ์นี้ ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับกัมพูชาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผ่านกลไกทวิภาคีหลายรูปแบบ รวมถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้สถานการณ์เกิดการลุกลามบานปลายขึ้นอีก ดังนั้น จึงน่าเสียใจอย่างยิ่งที่กัมพูชาจงใจหลีกเลี่ยงการเจรจาที่มีความหมาย แต่กลับพยายามผลักดันประเด็นนี้ให้กลายเป็นประเด็นระดับนานาชาติ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองของตนเอง

ในส่วนของข้อกล่าวหาเรื่องการทำลายพื้นที่โดยรอบและสิ่งก่อสร้างของปราสาทพระวิหารนั้น กระผมขอย้ำว่าประเทศไทยได้ใช้สิทธิอันสมควรในการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยยึดหลักความได้สัดส่วน ความระมัดระวัง และความจำเป็นทางทหาร การตอบโต้ทั้งหมดถูกจำกัดไว้เฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น

การยิงปะทะกันระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชาไม่ได้เกิดขึ้นใกล้ปราสาทพระวิหารเลย จุดโจมตีที่ใกล้ที่สุดอยู่บริเวณภูมะเขือ ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร ตัวปราสาทเองอยู่นอกเหนือขอบเขตการปฏิบัติการทางทหารของไทยโดยสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้ที่กระสุนปืนหรือสะเก็ดระเบิดจากการยิงปะทะกันที่ภูมะเขือจะเข้าหรือสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ปราสาทพระวิหาร

ดังนั้น แถลงการณ์ดังกล่าวจึงไม่มีมูลความจริง น่าเสียใจ และน่าผิดหวังอย่างยิ่ง แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเท่านั้น ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชางดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด ซึ่งมีแรงจูงใจทางการเมืองหรือบิดเบือนมรดกทางวัฒนธรรม ดังนั้น เราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะดำเนินการด้วยความสุจริตใจ และยึดมั่นในพันธกรณีระหว่างประเทศในการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรม

ในส่วนของการใช้กระสุนแบบคลัสเตอร์ ประเทศไทยขอยืนยันว่าการปฏิบัติการทางทหารเป็นไปตามหลักการแห่งความแตกต่าง ความได้สัดส่วน และความจำเป็นทางทหาร การใช้กระสุนแบบคลัสเตอร์เหล่านี้ถูกใช้เพื่อโจมตีเป้าหมายทางทหารโดยเฉพาะ

ท่านประธานครับ

ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และการรุกรานทั้งหมดโดยทันที และกลับมาเจรจาด้วยความจริงใจ

ขอบคุณครับ


09.58 น. :

ทักษิณประเมินสถานการณ์สู้รบไม่ยืดเยื้อ รับคาดไม่ถึงเหตุการณ์จะเดินมาถึงวันนี้ ยืนยันไม่จริงปัญหาขัดแย้ง 2 ตระกูล จุดชนวนสงคราม


09.18 น. :

ไทยชี้แจงต่อที่ประชุม UNSC ชี้กัมพูชาละเมิดอธิปไตยไทย ด้านกัมพูชาเรียกร้อง ‘หยุดยิงทันที’

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการประชุมฉุกเฉินที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก เมื่อวานนี้ (25 กรกฏาคม) ตามเวลาท้องถิ่น หลังไทยและกัมพูชาต่างยื่นหนังสือเพื่อรายงานถึงสถานการณ์และชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา 

การประชุมแบบปิดครั้งนี้ เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติได้ชี้แจงต่อที่ประชุมและประธาน UNSC โดยย้ำว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานโดยที่ไทยไม่ได้ยั่วยุ เป็นการคุกคามต่ออธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ 

เชิดชายเน้นย้ำว่า ไทยถือว่ากัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านและเป็นสมาชิกที่ใกล้ชิดของครอบครัวอาเซียนมาโดยตลอด และหากเกิดกรณีพิพาทก็ควรใช้การเจรจาเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งเหตุการณ์การปะทะกันก่อนหน้านี้ ไทยได้ขอให้ใช้กลไกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน (JBC) เพื่อเจรจาหาทางออก 

อย่างไรก็ตาม เชิดชายกล่าวว่า แม้ไทยมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเจรจากับกัมพูชามาตลอด แต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ที่กำลังพลทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดในระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในเขตแดนของประเทศไทย ทำให้มีทหารสองนายได้รับบาดเจ็บสาหัสและพิการถาวร ซึ่งหลักฐานยืนยันว่ากับระเบิดถูกฝังในพื้นที่ที่เคยกำจัดทุ่นระเบิดไปหมดแล้ว จึงถือเป็นระเบิดใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่รู้จักกันในชื่ออนุสัญญาออตตาวา ซึ่งประเทศไทยและกัมพูชาต่างเป็นรัฐภาคีทั้งคู่ และขัดต่อเจตนารมณ์ของปฏิญญาเสียมเรียบ-อังกอร์ที่ลงนามในเดือนพฤศจิกายน 2567

เชิดชายกล่าวว่า จากสถานการณ์ที่ร้ายแรงนี้ ประเทศไทยได้ส่งจดหมายสองฉบับถึงประธานการประชุมรัฐภาคีครั้งที่ 22 ของอนุสัญญา โดยให้รายละเอียดของเหตุการณ์และประณามการกระทำเหล่านี้อย่างรุนแรงว่าเป็น การจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ส่งจดหมายถึงเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อขอคำชี้แจงจากรัฐบาลกัมพูชาตามมาตรา 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาดังกล่าว

จากนั้น เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม เวลา 08.20 น. กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ไทยก่อนด้วยปืนใหญ่เข้าใส่ฐานปฏิบัติการไทยที่จังหวัดสุรินทร์ หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้าในพื้นที่ชายแดนไทย 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต และบาดเจ็บ และมีโรงพยาบาลและโรงเรียนได้รับความเสียหายอย่างหนัก 

จากข้อมูลเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เวลา 09.00 น. ในช่วงที่โจมตี มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 13 ราย ซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤต มีผู้คนกว่า 130,000 คนที่ต้องอพยพออกจากบ้าน

ทูตไทยย้ำจุดยืนของไทยว่ายึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐ และเคารพต่ออธิปไตยแห่งชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ไทยรักสันติ และปฏิเสธการใช้กำลังในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ และมุ่งมั่นต่อการระงับข้อพิพาทอย่างสันติ โดยสอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติ 

ไทยยังใช้เวทีนี้ยืนยันว่า การตอบโต้ของฝ่ายไทยเป็นไปเพื่อป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยยึดหลักการสัดส่วนและความจำเป็นที่เหมาะสม 

ด้าน เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติกล่าวในที่ประชุมคณะมนตรีฯ ว่า กัมพูชาต้องการให้มีการหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข พร้อมเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ 

นอกจากนี้ทูตกัมพูชายังอ้างว่า เหตุการณ์ปะทะกันที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นฝ่ายไทยที่เริ่มก่อน  

“คณะมนตรีความมั่นคงฯ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจสูงสุดและหันมาใช้แนวทางแก้ปัญหาทางการทูต นั่นคือสิ่งที่เราเรียกร้องเช่นกัน” เจีย แก้ว กล่าว


08.58 น. :

โฆษกรัฐบาลชี้สื่อต่างชาตินำเสนอคลาดเคลื่อนจากความจริงหลายประการ ย้ำไทยตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองหลังถูกโจมตีก่อน

จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากรณีที่มีการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศบางสำนัก เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มีการนำเสนอข้อความและภาพข่าวในลักษณะที่คลาดเคลื่อนจากความจริงหลายประการ เช่น

1. การพาดหัวข่าวว่า ‘Thailand bombs Cambodia with F-16s’ โดยไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการตอบโต้หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ฝ่ายไทยก่อน ในเวลา 08.20 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568

2. การใช้ภาพที่ถ่ายจากฝั่งประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นพลเรือนชาวไทยหลบหนีเข้าไปยังหลุมหลบภัยในฝั่งไทย (ในภาพเป็นภาพในโรงเรียนไทยที่มีอักษรไทยอย่างชัดเจน) แต่กลับระบุว่าเป็นภาพของพื้นที่กัมพูชา

3. การใช้ภาพร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน ปตท. ในประเทศไทยที่กองทัพกัมพูชาระดมยิงด้วยอาวุธร้ายแรง จนได้รับความเสียหายมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ระบุว่า เป็นสถานที่พลเรือนของฝั่งไทยและกลับไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของการโจมตี ทำให้ผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นผลจากการทิ้งระเบิดโดยฝ่ายไทย

จิรายุกล่าวว่า รัฐบาลไทยทราบถึงความตั้งใจดีของสื่อมวลชนในการรายงานข่าวและเข้าใจดีว่า สถานการณ์การโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดจากฝ่ายกัมพูชา ทำให้รีบร้อนในการรายงาน จนไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริง แต่ขอให้ดำเนินการแก้ไขเพื่อความถูกต้องของข่าวสาร

ทั้งนี้ ขอย้ำท่าทีของรัฐบาลไทย ดังนี้

1. ประเทศไทยยึดมั่นในหลักสันติวิธีและดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน โดยในกรณีที่เกิดการใช้กำลัง ฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้เท่าที่จำเป็น และมีเป้าหมายเพื่อระงับยับยั้งสถานการณ์ ไม่ให้ลุกลามบานปลาย

2. การดำเนินการของฝ่ายไทยในครั้งนี้ เป็นการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองตามหลักการสากล หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธหนักยิงเข้ามาในเขตแดนไทย ซึ่งมี ประชาชนที่อยู่ใน โรงพยาบาล โรงเรียน และบ้าน ได้รับผลกระทบ บาดเจ็บและเสียชีวิต

3. ภาพที่ใช้ประกอบข่าวบางภาพเป็นภาพเหตุการณ์ในฝั่งประเทศไทย ไม่ใช่ในกัมพูชา

4. การรายงานข่าวที่ขาดความครบถ้วนในบริบท อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงในระดับนานาชาติ

“รัฐบาลไทยยินดีให้ข้อมูลอย่างเปิดเผยบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และด้วยความเคารพในบทบาทของสื่อมวลชนในการสะท้อนข้อเท็จจริงไปยังประชาคมโลก โดยหากสื่อมวลชน มีข้อสงสัย หรือประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน สามารถติดต่อได้ทั้งกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย และศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)” จิรายุกล่าว


08.28 น. :

วันที่ 3 ของการปะทะ (03.30 น.) กัมพูชาเปิดฉากโจมตี บริเวณภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ขณะที่ (05.10 น.) บริเวณบ้านชำราก จ.ตราด ทหารเรือผลักดัน-ทำลายพื้นที่ ทหารกัมพูชา ซึ่งวางกำลังลุกลามเขตแดนไทย 3 จุด ต่อมา ฝั่งกัมพูชาได้ถอยร่นออกไป


07.52 น. :

กองทัพเรือแนะ 4 แนวทาง ‘พลเรือนไทย’ ควรปฏิบัติ หากประเทศเข้าสู่ภาวะสงคราม


07.29 น. :

‘กองทัพเรือ’ เปิดยุทธการตราดพิฆาตไพรี 1 ผลักดัน-ทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา วางกำลังรุกล้ำเขตแดนไทย 3 จุด


25 กรกฎาคม 2568:

20:59 น. :

กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดน ยอมรับกัมพูชา พยายามยึดเนิน 469 ที่ช่องบก-เขาพระวิหารปะทะต่อเนื่อง เผยกำลังกัมพูชาดับในพื้นที่ภูผี 100 นาย เตือนประชนระวังข่าวปลอม

วันนี้ (25 กรกฎาคม) ตามที่เกิดสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปผลการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้

สถานการณ์การสู้รบ กลยุทธ์ฝ่ายตรงข้ามยังคงพยายามใช้กำลังทหารราบเข้าประชิดกำลังฝ่ายเราเพื่อพยายามเข้าโจมตีหลักในพื้นที่ ช่องบก, ซำแต, ภูมะเขือ, ช่องตาเฒ่า, ประสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย โดยมีการยิงด้วยอาวุธยิงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ

พื้นที่ช่องบก มีความพยายามที่จะยึดเนิน 469

พื้นที่ช่องอานม้า ปรับกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ การปะทะเบาบางลง

พื้นที่ซำแต ยังคงมีการโจมตีด้วยอาวุธยิงสนับสนุน ด้วยรถถัง และปืนใหญ่

พื้นที่สัตตะโสม ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายอย่างหนัก

พื้นที่เขาพระวิหาร มีการปะทะอย่างต่อเนื่องบริเวณวัดพระแก้ว

พื้นที่ภูมะเขือ มีการดำเนินกลยุทธ์เพื่อยึดพื้นที่สำคัญให้เกิดความได้เปรียบอีกฝ่าย

พื้นที่เนิน 350 ถูกทำลายด้วยอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายเรา

พื้นที่ปราสาท ตาควาย (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) ถูกอาวุธยิงสนับสนุนจากฝ่ายเรา ไม่สามารถดำเนินการเข้าตีต่อฝ่ายเราได้

พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) ฝ่ายเราสามารถสกัดกั้นการเข้าฝ่ายตรงข้ามถอยกลับไป

สถานะปัจจุบันฝ่ายตรงข้าม เสียชีวิตที่พื้นที่ภูผีประมาณ 100 นาย

สำหรับการอพยพประชาชน มีการสนับสนุนส่วนราชการจังหวัดในการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัย ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน พื้นที่ตอนในทั้ง 4 จังหวัด อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมียอดรวมประชาชนอพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว 63,446 คน

ส่วนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ปัจจุบันยังไม่มีการรายงานพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายเพิ่มเติม ต.ตาเมียง ต.บักได และ ต.จีกแดก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ มีกระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่

ต.ศรีวิเชียร อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จรวด BM-21 ตกในพื้นที่ มีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 4 หลัง

ต.รุง ต.เมือง และ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่

การช่วยเหลือประชาชน จัดจิตอาสาพระราชทานดูแลและช่วยเหลือประชาชน ในพื้นที่ 4 จังหวัด เพื่อดูแลและช่วยเหลือประชาชน พร้อมทั้งตั้งโรงครัวพระราชทาน 7 จุด รถครัวสนาม 8 จุด ประกอบอาหารเพื่อดูแลประชาชนผู้อพยพ จำนวน 15,000 กล่อง/มื้อ รวมทั้งสิ้น 52,000 กล่อง/วัน

นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 2 ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ดังนี้

1.ขอให้ประชาชน งดเว้นถ่ายภาพ บันทึกวิดีโอ เผยแพร่ หรือแชร์ข้อมูลการเคลื่อนย้ายของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ เส้นทางปฏิบัติการ ความเคลื่อนไหวของฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความสับสน ตื่นตระหนก สื่อสารข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี

2.ให้ประชาชนระวังข่าวปลอม FakeNews ซึ่งปัจจุบันมีการเผยแพร่ในสื่อโซเชียลเป็นวงกว้าง ขอให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวสารให้ดี และพิจารณาเชื่อถือจากแหล่งที่มาที่เป็นทางการ

3.ปัจจุบันเกิดการปะทะตลอดพื้นที่ตามแนวชายแดน จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่ตามแนวชายแดน


19:19 น. :

ไทยโต้กัมพูชา ยืนยันกระสุนปืนใหญ่แบบกระสุนคลัสเตอร์ ใช้ตอบโต้ตามสัดส่วน-ความจำเป็น ไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไม่มีผลตกค้างระยะยาวต่อพลเรือน ย้ำไทยไม่มีผลผูกพันอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ ไม่ได้เป็นภาคี


19:06 น. :

ด่วน! กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ประกาศใช้ กฎอัยการศึก ในพื้นที่ 7 อำเภอ จ.จันทบุรี และ อ.เขาสมิง จ.ตราด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 


18.16 น. :

อนุ กมธ. ครุภัณฑ์ ของสภาฯ เห็นพ้อง ไม่ปรับลดงบประมาณสนับสนุนการจัดซื้อครุภัณฑ์ของกองทัพ เสนอให้จัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และการป้องกันอธิปไตยในอนาคต


17.48 น. :

ประท้วงกัมพูชา DSI ไทย ประกาศระงับการลงนามความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ในการสืบสวนสอบสวนคดีค้ามนุษย์


17.31 น. :

รัฐบาลออกแถลงการณ์ชี้กัมพูชาเลือกใช้ความรุนแรง โจมตีรพ.-พื้นที่ชุมชน ทำให้มีผู้เสียชีวิต ถือเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง ขอประชาคมโลกร่วมประณาม ยืนยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ ตอบโต้ทำลายฐานที่มั่นกัมพูชา และอพยพประชาชนแล้ว


16.09 น. :

ทัพฟ้า ส่ง F-16 บินถี่ ทำลายเป้าหมายทางทหาร ยุทธบริเวณโดยรอบ ‘เขาวิหาร ตาเมือนธม ภูมะเขือ’ ซึ่งเป็นจุดที่กัมพูชาใช้ยิงเข้าบ้านเรือนประชาชน-โรงพยาบาล รวม 2 เที่ยว 4 จุด


15.04 น. :

รัฐบาลส่ง 4 รัฐมนตรี ลงพื้นที่ 4 จังหวัด จิราพร สุรินทร์, สรวงศ์ บุรีรัมย์, ทวี ศรีสะเกษ, ธีรรัตน์ อุบลฯ ดูแลประชาชน รับมือปะทะไทย–กัมพูชา เตรียมเที่ยวบินรับคนไทยในกัมพูชา จัดชุดดูแลความปลอดภัย 24 ชม


14.49 น. :

ปะทะ ชายแดนไทย–กัมพูชา วันที่ 2 กองทัพบกเร่งอพยพประชาชนกว่า 6 หมื่นคนใน 14 อำเภอ 4 จังหวัด หลังมีรายงานความสูญเสียและเสียหายเพิ่ม


12.39 น. :

รัฐบาลไทย เรียกร้องกัมพูชารับผิดชอบ-ยุติละเมิดกม.ระหว่างประเทศ จ่อยกระดับ หากไม่ยุติโจมตี ขอ UNSC เวียนหนังสือชี้แจงจุดยืนไทยให้สมาชิกทราบ ยืนยันไทยไม่มีโจมตีปราสาทพระวิหาร


12.21 น. :

ศบ.ทก. เตือนประชาชนไทย-กัมพูชา ตามแนวชายแดน อพยพจากพื้นที่แนวรบ เพื่อลดความสูญเสีย เผยวันนี้ยังมีจุดปะทะ 12 แห่ง ด้าน สธ. อพยพผู้ป่วยจาก 11 รพ. ในพื้นที่แล้ว


11.18 น. :

ฝรั่งเศสแสดงความวิตกกังวลต่อเหตุปะทะกัมพูชา-ไทย พร้อมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต เรียกร้องกัมพูชา-ไทยยุติการปะทะทันที ยึดหลักสันติวิธีแก้ไขข้อพิพาทตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ


10.43 น. :

แรงงานกัมพูชากว่า 2,000 คน แห่กลับประเทศ หลังทางการไทย เปิดด่านให้กลับประเทศได้


10.24 น. :

กองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า ขณะนี้เกิดการปะทะในพื้นที่ตามแนวชายแดนหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่ตามแนวชายแดน

10.09 น. :

กองทัพบก โต้ข่าวทหารไทย ยึดปราสาทพระวิหารเป็นข่าวปลอม ชี้ปฏิบัติการทางทหารขณะนี้ เป็นเพียงการตอบโต้เป้าหมายทางทหารกัมพูชา เท่านั้น


10.00 น. :

กองทัพไทยยืนยันมีหลักฐาน ฮุน เซน อยู่เบื้องหลังโจมตีพลเรือนไทย เรียกร้ององค์กรระหว่างประเทศสอบสวนนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ

พล.ต. วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า กองทัพไทย ขอประณามอย่างรุนแรงต่อการใช้อาวุธยิงระยะไกลโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างต่อเนื่องของกองทัพกัมพูชา ซึ่งเป้าหมายพลเรือน ประกอบด้วย ชุมชนเมือง โรงพยาบาล โรงเรียน การกระทำอันป่าเถื่อนเหล่านี้ได้คร่าชีวิตและสร้างความบาดเจ็บแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากอย่างไร้เหตุผล

จากหลักฐานที่มีอยู่ เชื่อได้ว่า รัฐบาลกัมพูชา โดย สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีอันน่าสะเทือนใจเหล่านี้ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดความเคารพต่อชีวิตมนุษย์และการไม่แยแสต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

การกำหนดเป้าหมายโจมตีพลเรือนโดยเจตนา ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม และผู้ที่รับผิดชอบจะต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราขอเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศและประชาคมโลกดำเนินการสอบสวนอย่างอิสระและโปร่งใส เพื่อให้มั่นใจว่าผู้กระทำผิดจะได้รับการลงโทษอย่างเหมาะสม

กองทัพไทยขอยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีอันโหดร้ายเหล่านี้ และขอเรียกร้องให้ยุติการกระทำที่รุนแรงต่อพลเรือนในกัมพูชาโดยทันที ประชาคมโลกต้องไม่เพิกเฉยต่อความทารุณที่เกิดขึ้น และต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดความยุติธรรมและความรับผิดชอบ


09.50 น. :

“ทหารกัมพูชา” ยิง BM-21 โจมที่พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี


09.46 น. :

คณะมนตรีความมั่นคง UN เตรียมประชุมฉุกเฉินวันนี้ หารือปมสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา

สำนักข่าว AFP รายงานโดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าว ว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เตรียมจัดการประชุมฉุกเฉินในวันนี้ (25 กรกฎาคม) เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทยและกัมพูชา

การประชุมดังกล่าวกำหนดจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ในนิวยอร์กเวลา 15.00 น. ของวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 02.00 น. วันพรุ่งนี้ (26 กรกฎาคม) ตามเวลาไทย และจะเป็นการประชุมแบบปิด

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ได้พบหารือกับอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ประจำเดือนกรกฎาคม และรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปานามา ซึ่งจะเป็นประธาน UNSC ในเดือนสิงหาคม

โดยมาริษ ยืนยันว่าทั้งปากีสถานและปานามา เห็นพ้องในการแก้ปัญหาของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคี และหากมีการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ก็จะต้องมีการแก้ไข

ขณะที่เขาได้ยืนยันให้ประชาคมโลกทราบถึงจุดยืนและความอดทนอดกลั้นของไทยต่อการดำเนินการต่าง ๆ ของกัมพูชาที่ไม่จริงใจ โดยไทยมีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาอย่างสันติในกรอบทวิภาคี การเคารพต่ออธิปไตย และหลักการกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงไทยได้เปิดประตูเพื่อการเจรจาทวิภาคีด้วยความจริงใจมาโดยตลอด ซึ่งแตกต่างจากท่าทีของกัมพูชาที่ตั้งใจยั่วยุและแทรกแซงกิจการภายในของไทย

อีกทั้งการกระทำของกองทัพกัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทย โดยเฉพาะการโจมตีอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ฝั่งไทย รวมถึงเป้าหมายพื้นที่ที่เป็นพลเรือน โดยเฉพาะโรงพยาบาลจนเป็นเหตุให้ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมพิจารณายกระดับมาตรการป้องกันตนเอง หากกัมพูชายังคงไม่ยุติการกระทำที่เป็นการโจมตีทางอาวุธและละเมิดอธิปไตยของไทยตามหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึง อาซิม อิฟติคาร์ อาหมัด ผู้แทนถาวรปากีสถานประจำสหประชาชาติ ในฐานะประธานหมุนเวียนของ UNSC ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 โดยมีเนื้อหาประณามและกล่าวหาว่า กองทัพไทยเป็นฝ่ายรุกรานและเปิดฉากการโจมตีทหารกัมพูชาก่อน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ UNSC จัดการประชุมเร่งด่วน โดยอ้างว่าเพื่อยับยั้งการรุกรานของไทย


09.21 น. :

สหรัฐฯ กังวลการปะทะกัมพูชา-ไทยบริเวณชายแดน เรียกร้องยุติการโจมตี

กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ยุติการโจมตีระหว่างกัน เพื่อปกป้องพลเรือนจากอันตรายที่เกิดขึ้น และคาดหวังว่าไทยกับกัมพูชาจะแก้ปัญหาขัดแย้งโดยสันติวิธี

แถลงการณ์ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 บนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และแถลงการณ์ฉบับภาษาไทยในเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ระบุว่า “สหรัฐอเมริกามีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายงานการต่อสู้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากกับรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียชีวิต”

นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ยัง “เรียกร้องอย่างจริงจังให้ยุติการโจมตีโดยทันที ปกป้องพลเรือน และระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี”

ทั้งนี้เหตุปะทะตามแนวชายแดนเริ่มเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (24 กรกฎาคม) โดยกองทัพไทยโดยกรมกิจการชายแดนทหารระบุว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงใส่ฐานปฏิบัติการของไทย ใกล้ปราสาทตาเมือนธม บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในจังหวัดสุรินทร์ในช่วงเช้า ส่งผลให้ไทยยิงตอบโต้ และเกิดการปะทะกันขึ้น นอกจากนี้กัมพูชายังมีการยิงใส่โรงพยาบาลและสถานที่พลเรือนอื่นๆ โดยเหตุปะทะตลอดแนวชายแดนเมื่อวานนี้ทำให้มีฝั่งไทยมีผู้เสียชีวิตรวม 14 ราย แบ่งเป็นพลเรือน 13 ราย และทหาร 1 นาย และมีผู้บาดเจ็บรวม 60 ราย แบ่งเป็นพลเรือน 45 ราย และหทาร 15 นาย ขณะที่ไทยได้ส่ง F-16 โจมตีทางอากาศใส่ฐานปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชาบริเวณชายแดน โดยเน้นย้ำว่าเป็นการตอบโต้ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งฝั่งกัมพูชายังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต


09.08 น. :

คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเตรียมประชุมฉุกเฉินกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ 15.00 น. เวลาท้องถิ่น


09.03 น. :

กองทัพบก เผยวันนี้ ปะทะช่องบก และภูมะเขือ รวมถึงในพื้นที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตั้งแต่เช้ามืดตี 4 กัมพูชาระดมยิงอาวุธหนัก ปืนใหญ่สนาม, จรวด BM-21 ต่อเนื่องถึง 8 โมงเช้า ไทยตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธยิงสนับสนุนตามสถานการณ์


08.54 น. :

โฆษกรัฐบาลขอแกนนำคณะรวมพลังแผ่นดินฯ ทบทวนชุมนุม 27 ก.ค.นี้ หวั่นซ้ำเติมสถานการณ์ เปิดทางให้กัมพูชาแทรกแซง


08.51 น. :

ฮุน เซน โพสต์แถลงการณ์วุฒิสภากัมพูชา กล่าวหาไทยรุกราน เรียกร้องประชาคมโลกแทรกแซงสถานการณ์

สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เผยแพร่แถลงการณ์ของวุฒิสภากัมพูชาผ่าน Facebook โดยประณามและกล่าวหากองทัพไทย ว่ากระทำการรุกรานและละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา และละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2(4) ว่าด้วยการห้ามใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐใดๆ

เนื้อหาแถลงการณ์ ซึ่งแบ่งเป็น 6 ข้อ มีการยืนยันสิทธิของกัมพูชาในการป้องกันตนเองภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ และยังอ้างว่ากองทัพกัมพูชาได้ดำเนินการด้วยความเป็นมืออาชีพและความยับยั้งชั่งใจในการใช้สิทธิป้องกันตนเอง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อตอบสนองต่อการละเมิดที่กัมพูชากล่าวอ้าง

นอกจากนี้ แถลงการณ์ของวุฒิสภากัมพูชา ยังพยายามอ้างถึงจุดที่เกิดการปะทะว่าอยู่ใกล้ 4 พื้นที่พิพาท ได้แก่ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และมุมเบย ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่กัมพูชาพยายามส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม และปฏิเสธที่จะแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี

“วุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการรุกรานทางทหารโดยเจตนาและผิดกฎหมายของกองทัพไทย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์นี้ ซึ่งเกิดขึ้นใกล้กับปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย มุมเบย (สามเหลี่ยมมรกต) และสถานที่อื่นๆ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแดนของกัมพูชาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาโดยตรง และเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติ”

วุฒิสภาขอประกาศดังต่อไปนี้:

1. ขอประณามอย่างชัดแจ้งต่อการรุกรานด้วยอาวุธของกองกำลังทหารไทย ซึ่งส่งผลให้เกิดการปะทะกันและเป็นอันตรายต่อสันติภาพและเสถียรภาพตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย การกระทำนี้ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาอย่างร้ายแรง เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพในภูมิภาค และเป็นการละเมิดข้อ 2(4) ของกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ห้ามการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐใดๆ

2. ยืนยันสิทธิโดยธรรมชาติของกัมพูชาในการป้องกันตนเองภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ กองทัพกัมพูชาได้ดำเนินการด้วยความเป็นมืออาชีพและความยับยั้งชั่งใจในการใช้สิทธินี้ เพื่อปกป้องดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาติและความปลอดภัยของพลเมืองกัมพูชา

3. ยืนยันว่าพื้นที่โดยรอบตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และมุมเบย ตั้งอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา ดังได้รับการยืนยันจากสนธิสัญญาทางประวัติศาสตร์ แผนที่ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และข้อกำหนดทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง การปรากฏตัวของกองทัพกัมพูชาในพื้นที่เหล่านี้เป็นไปตามกฎหมายและอยู่ภายใต้สิทธิอธิปไตยอย่างเต็มที่

4. ในช่วงเวลาสำคัญนี้ กัมพูชาประกาศการสนับสนุนอย่างลึกซึ้งต่อความเป็นผู้นำที่ชาญฉลาดและมีวิสัยทัศน์ของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ผู้ก่อตั้งสันติภาพแห่งมาตุภูมิกัมพูชา และต่อความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวของนายกรัฐมนตรี ในการเผชิญหน้ากับการรุกรานที่ร้ายแรงครั้งนี้ การชี้นำอันแน่วแน่ของพวกเขามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการปกป้องอธิปไตยของชาติ การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ และการรักษาสถานะอันชอบธรรมของกัมพูชาในประชาคมระหว่างประเทศ

5. ขอแสดงความสนับสนุนและเคารพอย่างเต็มที่ต่อความกล้าหาญและวินัยของกองทัพกัมพูชา ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญด้วยความกล้าหาญและเกียรติยศในการเผชิญหน้ากับการรุกรานจากภายนอก

6. ขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงสหประชาชาติ อาเซียน และประเทศที่รักสันติภาพทุกประเทศ ดำเนินการอย่างเร่งด่วนและเด็ดขาดเพื่อตอบสนองต่อการละเมิดร้ายแรงครั้งนี้


08.44 น. :

ผบ.ตร. สั่งทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับคุมเข้มความปลอดภัยและมั่นคง


08.11 น. :

คลังอนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการจังหวัดสุรินทร์-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์-อุบลฯ จังหวัดละ 100 ล้านบาท หนุนช่วยผู้ประสบภัยเต็มที่

ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยในเช้าวันนี้ (25 กรกฎาคม) ว่า ได้รับแจ้งจากกระทรวงการคลังว่า กรมบัญชีกลางได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี เพิ่มเติมจังหวัดละ 100 ล้านบาท ตามคำขอของกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ เพื่อให้แต่ละจังหวัดนำไปใช้เป็น ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่ได้มีการประกาศเป็นเขตให้ความช่วยเหลือ โดยชนินทร์ย้ำว่า “ไม่ได้ขาดแคลนครับ” พร้อมขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งดำเนินการตามภารกิจช่วยเหลือโดยเร็ว

การขยายวงเงินครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง


07.38 น. :

สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นตามชายแดนไทย-กัมพูชา และรู้สึกตกใจกับรายงานถึงอันตรายที่เกิดกับพลเรือน พร้อมแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิต เรียกร้องให้ยุติการโจมตี


00.24 น. :

กองทัพไทยเผยไทม์ไลน์ปะทะชายแดน กัมพูชาเริ่มยิงตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยจรวดและปืนใหญ่ เสียชีวิตแล้ว 14 ราย

(24 กรกฎาคม) ตามรายงานสรุปเหตุการณ์การปะทะบริเวณชายแดน จากกรมกิจการชายแดนทหาร พล.ต. วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาในหลายจุดตลอดแนวชายแดน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งในหมู่พลเรือนและทหาร รวมถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน

โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้

เวลา 07.45 น. กองกำลังสุรนารีตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินล้ำเข้ามาสำรวจในเขตพื้นที่หน้าปราสาทตาเมือนธม จากนั้นพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือเข้าประชิดแนวลวดหนาม ฝ่ายไทยพยายามใช้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ

เวลา 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยอาวุธประจำหน่วยเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของไทย ใกล้บริเวณปราสาทตาเมือนธม ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย

เวลา 09.30 น. ฝ่ายกัมพูชายิงจรวด BM-21 จากพื้นที่เขาแหลม เข้าตกในพื้นที่บ้านขึ้นเหล็ก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 1 ราย และตรวจพบหัวจรวดตกบนบ้านเรือนในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิต 1 ราย

เวลา 09.45 น. มีการยิงจรวด BM-21 เพิ่มเติมเข้าใส่ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน บริเวณอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

ช่วงเวลา 10.00–10.22 น. ตรวจพบจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า ฐานพดุง และเนิน 500 ในจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกระสุนปืนใหญ่ตกใส่พื้นที่ผามออีแดง จุกตา และบริเวณฐานทัพ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บจำนวน 7 นาย

ช่วงเวลา 10.28–10.40 น. มีรายงานการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากฝั่งกัมพูชา ด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 พุ่งเป้าไปยังพื้นที่ฐานมาเรีย และบ้านโพนทอง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 1 หลัง

ช่วงเวลา 10.48–11.00 น. จรวด BM-21 จำนวน 3 ลูก ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า และในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ร้านค้าเอกชนได้รับความเสียหาย มีพลเรือนเสียชีวิต 9 ราย และได้รับบาดเจ็บ 14 ราย

ช่วงเวลา 11.02–12.21 น. ยังคงมีการปะทะและยิงถล่มด้วยอาวุธหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนของจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี โดยกระสุนบางส่วนตกในเขตชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน

สรุปความเสียหายเบื้องต้น (ณ เวลา 21.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข)

พลเรือน

เสียชีวิต: 13 ราย

บาดเจ็บสาหัส: 7 ราย

บาดเจ็บปานกลาง: 13 ราย

บาดเจ็บเล็กน้อย: 12 ราย

รวมทั้งสิ้น: 45 ราย

ทหาร

เสียชีวิต: 1 นาย

บาดเจ็บสาหัส: 6 นาย

บาดเจ็บปานกลาง: 5 นาย

บาดเจ็บเล็กน้อย: 3 นาย

รวมทั้งสิ้น: 15 นาย

จากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือน ถือเป็นการละเมิดหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกำหนดให้การโจมตีทางทหารกระทำได้เฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร (Military Objectives) เท่านั้น

กองทัพไทย ขอเรียกร้องอย่างหนักแน่นให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดการกระทำที่เป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรม และยืนยันว่า ประเทศไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและคุณค่าของมนุษยธรรมสากล พร้อมดำรงเจตนารมณ์ในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างถึงที่สุด


24 กรกฎาคม 2568: การปะทะรุนแรงและการสูญเสียครั้งใหญ่

22.56 น. :

ปลัด มท. เผยมีประชาชนต้องอพยพจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา มากกว่า 100,000 คน ไปยังศูนย์พักพิง 295 แห่ง กำชับทุกภาคส่วนดูแลความปลอดภัย และความเป็นอยู่ประชาชนให้ถูกสุขลักษณะ


22.18 น. :

นายกฯ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน โทรคุยผู้นำไทย-กัมพูชา กังวลสถานการณ์ เรียกร้องหยุดยิง-หันหน้าเจรจา

วันนี้ (24 กรกฎาคม) อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่าได้โทรหารือกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งกัมพูชา, ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี และภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย โดยได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ

อันวาร์ระบุว่า ในการสนทนาครั้งนี้ เขาได้เรียกร้องให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายหยุดยิงโดยทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจรุนแรงขึ้น และเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาอย่างสันติและการแก้ไขปัญหาทางการทูต

นอกจากนี้ผู้นำมาเลเซียยังแสดงความยินดีกับท่าทีที่เป็นบวกและความตั้งใจที่ไทยและกัมพูชาได้แสดงออกในการพิจารณาเรื่องนี้

อันวาร์ระบุว่า มาเลเซียพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกในกระบวนการเจรจานี้ ภายใต้จิตวิญญาณแห่งเอกภาพและความรับผิดชอบร่วมกันของอาเซียน

ผู้นำมาเลเซียแสดงความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า “พลังของอาเซียนอยู่ที่ความสามัคคี และสันติภาพเป็นทางเลือกที่พวกเรายึดมั่นร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยก”


22.09 น. :

ในหลวงและสมเด็จพระราชินี ทรงห่วงใยกำลังพลและราษฎรที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ทรงรับผู้บาดเจ็บทุกคนไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์


20.36 น. :

‘ยิ่งลักษณ์’ ประณามกัมพูชา ชี้โจมตีโรงพยาบาล ละเมิดมนุษยธรรมร้ายแรง ประกาศยืนเคียงข้างกองทัพ-ราชการ ขอส่งใจให้คนไทยผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน


19:00 น. :

คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศกังวลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกำลังติดตามผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากการปะทะอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนสภากาชาดในแต่ละประเทศเพิ่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ


18:24 น. :

โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาปฏิเสธพุ่งเป้าโจมตีพลเรือนไทย อ้างใช้สิทธิป้องกันตนเอง โจมตีเฉพาะที่ตั้งทางทหาร


18:03 น.:

‘พรรคประชาชน’ ประณามกัมพูชาเป็นฝ่ายโจมตีก่อน ขอให้ประชาคมโลกมั่นใจ ไทยกระทำตามสิทธิของการปกป้องตนเอง และพร้อมใช้กลไกสันติ หากกัมพูชายุติการรุกราน


18:02 น. :

ภูมิใจไทยประณามกองทัพกัมพูชา ชี้ใช้อาวุธสงครามยิงใส่พื้นที่พลเรือน ทำประชาชนไทยเสียชีวิต-บาดเจ็บจำนวนมาก เรียกร้อง 2 ผู้นำสองประเทศ เจรจาเพื่อสร้างสันติภาพ


17:01 น. :

พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาวันนี้ ส่งความห่วงใยถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน-ประชาชนในบริเวณพื้นที่เกิดเหตุตามแนวชายแดน


16:46 น. :

คนไทยหลั่งไหลบริจาคโลหิต

วันนี้ (24 กรกฎาคม) ปรากฏภาพบรรยากาศ ประชาชนหลั่งไหลบริจาคโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยโรงพยาบาลชายแดน ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย


15.58 น. :

ประธาน กกต. เกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมปรับแผนหากกระทบเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ 10 สิงหาคมนี้


15.47 น. :

สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ออกคำแนะนำพลเมืองอเมริกันที่อาศัยหรือกำลังเดินทางไปใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานความมั่นคงไทย และติดตามข่าวสารจากหน่วยงานท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด


15.42 น. :

ด่วน! รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของไทย บินถึงสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (UN) ที่นิวยอร์กแล้ว หลังกัมพูชาเปิดฉากก่อน ชี้ละเมิดสิทธิมนุษยชน เร่งสื่อสารประชาคมโลก


15.38 น. :

อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เผยกับผู้สื่อข่าวว่าจะพูดคุยกับผู้นำกัมพูชาและไทยภายในวันนี้ พร้อมแสดงความคาดหวังว่าสองฝ่ายจะยุติการเผชิญหน้าและพยายามเข้าสู่การเจรจา


15.31 น. :

สหราชอาณาจักร เตือนพลเมืองอังกฤษที่อาศัยใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชาให้เฝ้าระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานท้องถิ่น หากต้องเดินทางไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีเหตุปะทะกันระหว่างสองฝ่าย


15:24 น. :

ธนาคารกรุงไทยขอแจ้งปิดบริการสาขาในพื้นที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า และ ประชาชน ประกอบด้วย 14 สาขา ดังนี้

1.สาขากันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
2.สาขาขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ
3.สาขาปราสาท จ.สุรินทร์
4.สาขาสังขะ จ.สุรินทร์
5.สาขาบุณฑริก จ.อุบลราชธานี
6.สาขาละหานทราย จ.บุรีรัมย์
7.สาขาตาพระยา จ.สระแก้ว
8.สาขาวัฒนานคร จ.สระแก้ว
9.สาขาอรัญประเทศ จ.สระแก้ว
10.สาขาสอยดาว จ.จันทบุรี
11.สาขาโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
12.สาขาตราด จ.ตราด
13.สาขาคลองใหญ่ จ.ตราด
14.สาขาร้านสหกรณ์จังหวัดตราด จ.ตราด

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่สาขาใกล้เคียง โดยค้นหาสาขาได้ที่ https://krungthai.com/th/contact-us/ktb-location หรือทำธุรกรรมผ่าน Krungthai NEXT หรือ ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย


15.24 น. :

รมว.สาธารณสุข บอกกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาเจนีวาร้ายแรง หลังยิง รพ. ในสุรินทร์-ศรีสะเกษ เผยประชาชนเสียชีวิต11 บาดเจ็บ35 ราย ประณามกัมพูชา


15.00 น. :

กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลจีนมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และหวังว่าสองฝ่ายจะแก้ไขปัญหาผ่านการพูดคุยและหารือกัน


14:42 น. :

กระทรวงแรงงาน เร่งตั้งวอร์รูมรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สั่งเข้มดูแลแรงงาน-ชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ

วันนี้ (24 กรกฎาคม) พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการด่วนทุกหน่วยเตรียมรับมือสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมจัดตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามและวางแผนเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด

กระทรวงแรงงานประสานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ พร้อมย้ำให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

ในกรณีลูกจ้างได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ หากเกิดในระหว่างการทำงาน จะได้รับสิทธิจากกองทุนเงินทดแทน ขณะที่กรณีที่ไม่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติงาน จะได้รับสิทธิจากกองทุนประกันสังคม ส่วนลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับสิทธิกรณีว่างงานตามกฎหมาย

ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลหรือขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง


14.09 น. :

ปิด 5 ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว แบบ 100% วันนี้วันสุดท้ายที่ให้นักเรียนกัมพูชาและไทยข้ามกลับประเทศตัวเอง


13.58 น. :

‘พร้อมปกป้องอธิปไตยอย่างถึงที่สุด’ กองทัพบกประณามกัมพูชา กรณียิงโจมตีพลเรือนในไทย ดับแล้ว 9 เจ็บกว่า 14 ราย

วันนี้ (24 กรกฎาคม 2568) กองทัพบกออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา หลังมีรายงานว่าใช้กำลังอาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือนในเขตแดนฝั่งไทย ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในหลายพื้นที่ โดยระบุว่าเป็นการกระทำที่ ‘ผิดหลักมนุษยธรรม’ และยืนยันว่าฝ่ายไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนอย่างเต็มกำลัง

ต้นเหตุของสถานการณ์เกิดขึ้นจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ภายหลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงใส่ฐานทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม อ.ภูสิงห์ จ.สุรินทร์ ส่งผลให้การปะทะลุกลาม และมีรายงานว่าอาวุธยิงสนับสนุนจากฝั่งกัมพูชาพุ่งเป้าเข้าสู่พื้นที่พลเรือนในหลายจังหวัดของไทย

จากรายงานเบื้องต้นของกองทัพบก พบความเสียหายและผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตกระจายในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ โดยสรุปความเสียหายเบื้องต้นมีดังนี้

ศรีสะเกษ: พื้นที่บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ เสียชีวิต 6 ราย บาดเจ็บ 10 ราย

 สุรินทร์: พื้นที่บ้านโจรก อ.กาบเชิง เสียชีวิต 2 ราย (1 รายเป็นเด็กชายวัย 8 ขวบ) บาดเจ็บ 2 ราย / พื้นที่บ้านหนองแรด และ ต.บักได มีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย

 อุบลราชธานี: พื้นที่ ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย / บ้านนายบุญล่วม ทองวิเศษ มีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย

 บุรีรัมย์: บ้านขี้เหล็ก และหมู่ 16 ต.บ้านกรวด พบความเสียหายต่อบ้านเรือนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย

กองทัพบกระบุว่า ขณะนี้กำลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน พร้อมย้ำว่าการโจมตีพลเรือนเช่นนี้เป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

“กองทัพบกขอประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และยืนยันว่าพร้อมดำเนินการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและความปลอดภัยของประชาชนอย่างถึงที่สุด” แถลงการณ์ระบุ

สถานการณ์ชายแดนยังคงตึงเครียด โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของการตอบโต้หรือแนวทางการทูตเพิ่มเติมในขณะนี้


13.23 น. :

สภ.กันทรลักษ์ รายงานว่า จากเหตุกัมพูชายิงลูกจรวด BM21 เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 8 ราย ในที่เกิดเหตุ 5 จุด เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารฝ่ายปกครอง ดับเพลิง อบต.และหน่วยพยาบาลกำลังปฏิบัติหน้าที่ ขอแจ้งประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ออกห่างจากพื้นที่เกิดเหตุ


13.13 น. :

ฮุน มาเนต ส่งหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ขอจัดการประชุมเร่งด่วน อ้างยับยั้งไทยรุกรานกัมพูชา


13.13 น. :

กองทัพภาคที่ 2 เผยไทยใช้สิทธิ์ป้องกันตนตาม ม.51 กฎบัตรยูเอ็น หลังกัมพูชาโจมตีพื้นที่พลเรือน-โบราณสถาน-รพ.ในไทย

วันนี้ (24 กรกฎาคม) กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เผยแพร่แถลงการณ์ยืนยันสิทธิของประเทศไทยในการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองตาม มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ หลังจากมีรายงานว่ากองกำลังของกัมพูชาได้โจมตีพื้นที่พลเรือนใน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ รวมถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหาร อาทิ โบราณสถาน ปราสาท ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล และศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน

แถลงการณ์ระบุว่า หากจำเป็นต้องมีการตอบโต้ กองทัพบกไทยจะดำเนินการ ภายใต้หลักสากลของกฎหมายมนุษยธรรม โดยมุ่งเป้าเฉพาะวัตถุทางทหาร (Military Objective) และจะ หลีกเลี่ยงความเสียหายต่อทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงโบราณสถานสำคัญต่าง ๆ

“ประเทศไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและคุณค่าสากลของมนุษยธรรม แต่จะไม่ยอมให้การโจมตีใด ๆ ละเมิดอธิปไตยและบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของชาติได้โดยไม่มีการตอบโต้” ข้อความในเพจ กองทัพภาคที่ 2

ทั้งนี้ ทภ.2 ยังเน้นย้ำว่า การใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางทหาร จะทำให้เป้าหมายนั้น หมดสิทธิในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ


13.50 น. :

เนวิน ชิดชอบ ประกาศ ‘คนไทยไม่ทิ้งกัน’ เปิดสนามช้างเซอร์กิต รับพี่น้องประชาชน คนบุรีรัมย์ บ้านใครไม่ปลอดภัย ให้เขามาพักที่นี่ได้เลย


12.59 น. :

แนวรบทางน้ำขยับ ‘ผบ.ทร.’ ลงบัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเอง สั่งปิด 3 ด่าน 3 จุดผ่อนปรน ฝั่งชายแดนตะวันออก ตราด-จันทบุรี แล้ว 100% พร้อมรบทันทีเมื่อมีคำสั่ง


ด่วน! สภากาชาดไทยระดมเลือดช่วยชายแดน หลังเหตุปะทะรุนแรงในสุรินทร์-ศรีสะเกษ-อุบลฯ

วันนี้ (24 กรกฎาคม) ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย รายงานความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุใช้อาวุธบริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ล่าสุด ได้ส่งโลหิตสำรองจำนวน 200 ถุงเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนแล้ว พร้อมย้ำยังคง ‘ต้องการโลหิตบริจาคอย่างเร่งด่วน’

จากสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าว หน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ได้ขอรับการสนับสนุนโลหิตเพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบ โดยศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติและภาคบริการโลหิตแห่งชาติในภูมิภาคต่างๆ ได้เตรียมพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่

เปิดจุดรับบริจาคโลหิตใกล้บ้านคุณ

📍ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์

หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) เช่น สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค), เดอะมอลล์ 4 สาขา, ดิเอ็มโพเรียม, บ้านทรงไทย (วงศ์สว่าง)

โรงพยาบาลในสังกัดบริการโลหิตแห่งชาติ เช่น รพ.รามาธิบดี, รพ.ตำรวจ, รพ.สิรินธร, รพ.ราชวิถี, รพ.ภูมิพลฯ และอื่นๆ

📍ในภูมิภาค

  • ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ อาทิ ลพบุรี, ชลบุรี, ราชบุรี, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, เชียงใหม่, สงขลา และภูเก็ต
  • โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติในแต่ละจังหวัด

ก่อนบริจาคโลหิต ตรวจสอบความพร้อมของร่างกาย ได้แก่ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงอาหารมัน งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ และไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง

ประชาชนที่มีความพร้อมร่วมบริจาคโลหิต สามารถตรวจสอบจุดให้บริการได้ผ่านช่องทางของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เพื่อร่วมเป็นพลังช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้


12.31 น. :

สถานทูตจีนในกัมพูชาเตือนพลเมืองจีนในกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ขัดแย้งเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยแนะให้อยู่ในที่ปลอดภัย เลี่ยงเดินทางไปชายแดนไทย-กัมพูชา 


12.30 น. :

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กำลังพิจารณาญัตติด่วน กรณีการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา 7 พรรคการเมืองร่วมกันเสนอ ก่อนจะขอให้เป็นการประชุมลับ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคง


11.54 น. :

กองทัพภาคที่ 2 ระบุกัมพูชาไร้มนุษยธรรม โจมตี ‘โรงพยาบาลพนมดงรัก’ มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ


11.37 น. :

กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า กระเช้าขึ้นภูมะเขือ ของทหารกัมพูชา ถูกทหารไทย ทำลายแล้ว


10.58 น. :

กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า เครื่องบิน F-16 ยิงแล้ว บก.พลน้อย.สสน.8 และ บก.พลน้อย.สสน.9 ของกัมพูชาถูกทำลาย


10.51 น. :

กองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 6 ลำ เตรียมตอบโต้ พื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี


10.35 น. :

สถานทูตไทยในพนมเปญ แนะคนไทยในกัมพูชาเดินทางออกจากประเทศโดยเร็วที่สุด หลังเหตุขัดแย้งยกระดับความรุนแรง


10.30 น. :

สั่งปิดโรงเรียนชายแดนสุรินทร์ หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

วันนี้ (24 กรกฎาคม) เวลา 10.30 น. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะกันระหว่างกำลังความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเช้าวันเดียวกัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ และได้มีคำสั่ง ปิดโรงเรียนทุกแห่งในบริเวณที่เกิดเหตุการปะทะเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่

“ดิฉันได้กำชับให้โรงเรียนในเขตชายแดนจัดเตรียมแผนรับมืออย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเตรียมหลุมหลบภัย หรือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน รวมถึงสั่งการให้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อรองรับนักเรียนและครอบครัวที่อาจต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง และจะพิจารณาเปิดเรียนตามปกติเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในระยะยาว


10.03 น. :

กองทัพภาคที่ 2 รายงานพบ กัมพูชา พยายามรุกล้ำพื้นที่ชายแดน บริเวณปราสาทตาควาย อนุมัติ ยิงปืนใหญ่เพื่อปกป้องอธิปไตยแล้ว


10.00 น. :

ที่ว่าการอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ขอประชาชนในโซนสีแดงติดชายแดนเข้า ‘หลุมหลบภัย’ พื้นที่ส่วนนอกอื่น ให้ผู้ใหญ่บ้านจัดการอพยพตามแผน


09.40 น. :

กองทัพบก ประณามกัมพูชา ใช้อาวุธโจมตีเป้าหมาย ‘พลเรือน’ ในเขตแดนไทย

วันนี้ (24 กรกฎาคม) กองทัพบกขอประณามการกระทำอันรุนแรงและไร้มนุษยธรรมของฝ่ายกัมพูชา จากกรณีที่มีการใช้อาวุธจรวด BM-21 จำนวน 2 นัด ยิงเข้ามาในพื้นที่ชุมชนภายในศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลา 09.40 น. ของวันนี้

 เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราษฎรได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 ราย ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่โดยทันที เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน

ในขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังเฝ้าติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม จะได้รายงานให้ทราบต่อไปโดยเร็วที่สุด


09.20 น. :

กองทัพบก พบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร พบฝ่ายกัมพูชา เปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิด และ BM21 ส่วนฝ่ายไทย เข้าปะทะตามแผนพร้อมตอบโต้ปืนใหญ่สนาม


เวลา 08.20 น. :

ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง เข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานหมูป่า ทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธม ในระยะประมาณ 200 เมตร


เวลา 08.17 น. :

ฝ่ายไทยทำการ เทียบเวลา ตลอดแนวชายแดน เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์


เวลา 07.45 น. :

ฝ่ายกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ รวมถึงอาวุธประเภท RPG (เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง) ได้เดินเข้ามาประชิดแนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยพยายามใช้การ ตะโกนเจรจา เพื่อลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า


เวลา 07.35 น. :

จุดตรวจปราสาทตาเมือนของไทย ได้ยินเสียง โดรน (UAV) ของกัมพูชา บินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม


23 กรกฎาคม 2568: เหตุระเบิดทุ่นระเบิด

  • ทหารไทย 5 นายได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวนในจังหวัดสุรินทร์ ฝ่ายไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ ไทยตอบโต้ด้วยการปิดด่านชายแดนทางบกทั้งหมด ถอนเอกอัครราชทูตจากพนมเปญ และขับไล่เอกอัครราชทูตกัมพูชาออกจากกรุงเทพฯ กัมพูชาตอบโต้ด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและเรียกคืนเจ้าหน้าที่สถานทูตจากไทย

13-15 กรกฎาคม 2568: เหตุการณ์ยั่วยุเพิ่มเติม

  • วันที่ 13 กรกฎาคม มีรายงานว่าทหารกัมพูชาติดตามทหารไทยและวางระเบิดในเส้นทางลาดตระเวน ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บสาหัส
  • วันที่ 15 กรกฎาคม หญิงชาวกัมพูชาตะโกนใส่ทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม กล่าวหาว่าล้ำแดน สถานการณ์ตึงเครียดเมื่อทหารกัมพูชาราว 1 กองร้อยเคลื่อนกำลังเข้ามาในเขตฝั่งไทย เกิดการผลักอกและเผชิญหน้ากัน
  • รายงานเพิ่มเติมระบุว่ากัมพูชาสร้าง “บันไดเหล็ก” ในเขตพิพาทที่ภูมะเขือเพื่อยึดพื้นที่ ฝ่ายไทยยื่นประท้วงทางการทูต แต่กัมพูชาไม่ยอมรื้อถอน

1 กรกฎาคม 2568: “แพทองธาร”ถูกพักงาน

  • ศาลรัฐธรรมนูญไทยสั่งพักงานนายกรัฐมนตรีแพทองธารด้วยคะแนน 7-2 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดจริยธรรมจากเหตุการณ์โทรศัพท์ที่ถูกดักฟัง ส่งผลให้เกิดวิกฤตการเมืองในไทย และพรรคประชาชน (ฝ่ายค้าน) เรียกร้องให้ยุบสภา
  • พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคถอนตัวจากแนวร่วม สะท้อนถึงความเปราะบางของรัฐบาลไทย

17-23 มิถุนายน 2568: การตอบโต้ทางการค้าและการทูต

  • กัมพูชาห้ามนำเข้าผลไม้ ผัก และเชื้อเพลิงจากไทย รวมถึงระงับการออกอากาศภาพยนตร์และละครไทย และลดแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตจากไทย ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยการจำกัดการเดินทางข้ามแดน โดยเฉพาะห้ามคนไทยเดินทางไปทำงานในสถานบันเทิงของกัมพูชาที่เมืองปอยเปต และเพิ่มการตรวจค้นที่ชายแดน
  • วันที่ 23 มิถุนายน ไทยสั่งปิดด่านชายแดนทั้งหมดใน 7 จังหวัด (อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สระแก้ว จันทบุรี และตราด) ยกเว้นนักเรียนและผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเดินทาง

15-18 มิถุนายน 2568: วิกฤตการทูตจากโทรศัพท์ที่ถูกดักฟัง

  • นายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร โทรศัพท์สนทนากับนายฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภา เพื่อพยายามคลายความตึงเครียด แต่การสนทนานี้ถูกลักลอบบันทึกและเผยแพร่โดยนายฮุน เซน ในวันที่ 18 มิถุนายน แพทองธารเรียกนายฮุน เซนว่า “ลุง” และวิจารณ์ผู้บัญชาการกองทัพไทยว่าเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในไทยว่าเธอยอมจำนนต่อกัมพูชาและดูหมิ่นกองทัพไทย
  • กระทรวงการต่างประเทศไทยเรียกตัวเอกอัครราชทูตกัมพูชามาประท้วงอย่างเป็นทางการ ระบุว่าการเผยแพร่การสนทนาเป็น “การละเมิดมารยาททางการทูต” และ “ทำลายความไว้วางใจ”

28 พฤษภาคม 2568: การปะทะครั้งแรกและการสูญเสีย

  • เกิดการยิงปะทะกันในพื้นที่พิพาทบริเวณสามเหลี่ยมมรกต ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทั้งสองฝ่ายกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเริ่มยิงก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในรอบทศวรรษ สองฝ่ายเริ่มเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดน

1 พฤษภาคม 2568: เหตุไฟไหม้ที่สามเหลี่ยมมรกต

  • ศาลาสามเหลี่ยมมรกต (จุดเชื่อมต่อชายแดนไทย-กัมพูชา-ลาว) ถูกไฟไหม้ ฝ่ายไทยพยายามควบคุมข่าวลือว่าเป็นฝีมือทหารกัมพูชา โดยระบุว่าไฟไหม้เกิดจากสาเหตุธรรมชาติ แต่เหตุการณ์นี้ยิ่งเพิ่มความไม่ไว้วางใจระหว่างสองฝ่าย

กุมภาพันธ์ 2568: จุดเริ่มต้นความตึงเครียด

  • ทหารและพลเรือนกัมพูชาเดินทางไปยังปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในเขตพิพาท และร้องเพลงชาติกัมพูชาเพื่อแสดงอธิปไตย ทหารไทยคัดค้าน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าครั้งแรก วิดีโอเหตุการณ์แพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย กระตุ้นกระแสชาตินิยมในทั้งสองฝ่าย

โฆษณา

Loading Next Post...
ติดตาม
Search Trending
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...